What is Data Driven?

Data-Driven คืออะไร? สรุปครบจบในที่เดียว มี (ตัวอย่าง + ประโยชน์)

ภาพรวมทางธุรกิจในปัจจุบัน การตัดสินใจโดยอาศัยความรู้สึกอาจไม่เพียงพออีกต่อไป แนวคิดของ ‘Data-Driven Marketing’ หรือการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ได้เข้ามาเป็นมาตรฐานใหม่และเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในหลากหลายธุรกิจ

ความสำเร็จของบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง Netflix และ Amazon ล้วนมีรากฐานมาจากการนำข้อมูลมาใช้เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า ทำให้สามารถวางกลยุทธ์ที่แม่นยำและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักเจาะลึกเรื่องของ Data-Driven พร้อมแนะนำแนวทางการนำข้อมูลมาใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ

Data Driven คืออะไร

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

Data Driven คืออะไร?​

Data-Driven คือ แนวทางการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ที่ไม่ได้อาศัยเพียงความรู้สึกนึกคิดไปเอง แต่ใช้ ‘ข้อมูล’ (Data) ที่รวบรวมได้อย่างเป็นระบบมาเป็นแกนหลักในการวิเคราะห์และชี้นำในการทำงานต่างๆ ของธุรกิจ

โดยข้อมูลเหล่านี้อาจมาจากหลากหลายแหล่ง เช่น พฤติกรรมการซื้อสินค้า, การใช้งานบนเว็บไซต์ (User Journey), หรือการตอบสนองต่อแคมเปญการตลาด ซึ่งจะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึก (Insights) และทำความเข้าใจลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น เป้าหมายสูงสุดคือการนำข้อมูลเชิงลึกที่ได้ไปใช้คาดการณ์แนวโน้ม, ปรับปรุงผลิตภัณฑ์, และวางแผนกลยุทธ์ที่ตรงจุด เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment – ROI) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

5 องค์ประกอบข้อมูลสำคัญที่ใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ (Data-Driven Components)

5 องค์ประกอบข้อมูลสำคัญที่ใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ

เพื่อให้แนวทางแบบ Data-Driven สามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างแท้จริง หัวใจสำคัญคือการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากหลากหลายแหล่งที่มาอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ (Data-Driven Decision Making) แทนการคาดเดา โดยแหล่งข้อมูลสำคัญที่เป็นองค์ประกอบหลัก มีดังนี้

1. ข้อมูลจากระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM Data)

CRM (Customer Relationship Management) คือศูนย์กลางที่รวบรวมทุกปฏิสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นประวัติการติดต่อ, การสั่งซื้อ, หรือข้อซักถามต่างๆ ข้อมูลจาก CRM จึงเป็นขุมทรัพย์สำคัญที่ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของลูกค้าได้ 360 องศา ทำให้สามารถแบ่งกลุ่มลูกค้า (Segmentation) และสร้างกลยุทธ์การสื่อสารที่เฉพาะเจาะจงและตรงใจได้มากยิ่งขึ้น

2. ข้อมูลพฤติกรรมบนเว็บไซต์ (Website Analytics Data)

เป็นข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ เช่น Google Analytics ซึ่งจะบันทึกร่องรอยการใช้งานของผู้บริโภคบนเว็บไซต์ของเรา ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจเส้นทางของผู้ใช้งาน (User Journey), รู้ว่าเนื้อหาส่วนไหนที่ได้รับความนิยม, และเห็นจุดที่เป็นปัญหาซึ่งทำให้ผู้ใช้กดออกจากเว็บไป ข้อมูลนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) และเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์

3. ข้อมูลการใช้งานแอปพลิเคชัน (Mobile App Analytics)

ในยุคที่ผู้คนใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นหลัก ข้อมูลจากแอปพลิเคชันจึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน ข้อมูลนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ, อัตราการกลับมาใช้งานซ้ำ (Retention), และเส้นทางการทำธุรกรรมภายในแอป ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ทีมพัฒนาสามารถนำไปใช้ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น

4. ข้อมูลการซื้อขายและธุรกรรม (Transactional Data)

คือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายโดยตรง เช่น ประวัติการสั่งซื้อ, มูลค่าต่อคำสั่งซื้อ, และความถี่ในการซื้อ ข้อมูลส่วนนี้เป็นตัวชี้วัดพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าที่ชัดเจนที่สุด ช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์แนวโน้มการซื้อในอนาคต, นำเสนอสินค้าเพิ่มเติม (Cross-selling), และวางแผนการจัดการสต็อกสินค้าได้อย่างแม่นยำ

5. ข้อมูลการสื่อสารและการสนทนา (Communication & Conversation Data)

นอกเหนือจากข้อมูลออนไลน์ การสื่อสารผ่านช่องทางอย่างโทรศัพท์ก็ยังคงมีความสำคัญ การใช้เทคโนโลยีติดตามและวิเคราะห์การสนทนาด้วย AI ช่วยให้เราสามารถดึงข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) เช่น ความต้องการเร่งด่วน, อารมณ์ความรู้สึก, หรือปัญหาที่แท้จริงของลูกค้า ซึ่งเป็นข้อมูลที่อาจไม่พบในช่องทางออนไลน์ ช่วยให้เราเติมเต็มความเข้าใจในตัวลูกค้าและนำไปปรับปรุงบริการได้อย่างตรงจุด

Data Driven มีความสำคัญต่อ SEO อย่างไร?

Data Driven มีความสำคัญต่อ SEO อย่างไร?

ในยุคที่การแข่งขันสูง การทำ SEO โดยอาศัยเพียงความรู้สึกหรือความคุ้นเคยไม่ใช่หนทางสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนอีกต่อไป แนวทาง Data-Driven SEO หรือการใช้ข้อมูลเป็นหัวใจในการตัดสินใจ จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนการคาดเดาให้กลายเป็นกลยุทธ์ที่วัดผลและคาดการณ์ได้จริง

การนำข้อมูลมาใช้ช่วยยกระดับการทำ SEO ในทุกมิติ ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ไปจนถึงการวัดผล ดังนี้

1. การวางกลยุทธ์คีย์เวิร์ดที่แม่นยำ (Precise Keyword Strategy)

แทนที่จะมองแค่ปริมาณการค้นหา (Search Volume) เพียงอย่างเดียว แนวทาง Data-Driven จะวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เช่น อัตราการเกิด Conversion ของแต่ละคีย์เวิร์ด, เจตนาที่แท้จริงของผู้ค้นหา (Search Intent), และระดับการแข่งขัน เพื่อเลือกคีย์เวิร์ดที่สร้างผลตอบแทนทางธุรกิจได้ดีที่สุด ไม่ใช่แค่ดึงดูดผู้เข้าชม

2. การสร้างสรรค์เนื้อหาที่ตรงใจผู้ใช้ (User-Centric Content Creation)

ข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้จาก Google Analytics หรือเครื่องมืออื่นๆ สามารถบอกเราได้ว่าเนื้อหาประเภทใดที่ผู้อ่านชื่นชอบ, หัวข้อไหนที่พวกเขาสนใจ, หรือปัญหาอะไรที่พวกเขากำลังมองหาคำตอบ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถสร้างคอนเทนต์ที่ตรงกับความต้องการของตลาดได้อย่างแท้จริง แทนที่จะเขียนในสิ่งที่เราอยากเล่าเพียงฝ่ายเดียว

3. การปรับแต่ง On-Page และประสบการณ์ผู้ใช้ (On-Page & UX Optimization)

ข้อมูลอย่าง Heatmap (การดูว่าผู้ใช้คลิกตรงไหน) หรือ Scroll Depth (การดูว่าผู้ใช้อ่านเนื้อหาลึกแค่ไหน) เป็นเหมือนเสียงสะท้อนจากผู้ใช้งานโดยตรง เราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับปรุงการจัดวางองค์ประกอบบนหน้าเว็บ, ตำแหน่งของปุ่ม Call-to-Action, และปรับปรุงเนื้อหาในส่วนที่คนไม่อ่าน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน

4. การวัดผลและพิสูจน์ความคุ้มค่า (Performance Measurement & ROI)

จุดเด่นที่สุดของ Data-Driven SEO คือการทำให้ทุกอย่างวัดผลได้ เราสามารถติดตามอันดับ, จำนวนผู้เข้าชมแบบ Organic, ไปจนถึงรายได้ที่เกิดขึ้นจากช่องทางนี้ได้อย่างชัดเจน สิ่งนี้ช่วยเปลี่ยนสถานะของ SEO จาก “ต้นทุน” ที่ต้องจ่าย ให้กลายเป็น “การลงทุน” ที่สามารถพิสูจน์ผลตอบแทน (ROI) ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ข้อดีของ Data Driven​ มีอะไรบ้าง

ข้อดีของ Data Driven

การปรับเปลี่ยนองค์กรให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การปรับใช้เทคโนโลยี แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันและปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจในหลายมิติ โดยประโยชน์ที่สำคัญที่องค์กรจะได้รับ มีดังนี้

1. การตัดสินใจที่แม่นยำและมั่นใจขึ้น (More Accurate Decision-Making)

ประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดคือการเปลี่ยนจากการตัดสินใจที่อิงตามประสบการณ์ส่วนบุคคล มาเป็นการตัดสินใจที่อ้างอิงจาก “หลักฐานเชิงประจักษ์” (Empirical Evidence) ข้อมูลช่วยลดความเสี่ยง, เพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ และทำให้ผู้บริหารสามารถวางแผนกลยุทธ์ต่างๆ ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

2. การเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (Improved ROI)

แนวทาง Data-Driven ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างชาญฉลาด เมื่อเราเข้าใจว่าแคมเปญการตลาดช่องทางใด, สินค้าตัวไหน, หรือลูกค้ากลุ่มใดที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด เราก็สามารถทุ่มงบประมาณและเวลาไปกับสิ่งที่สร้างผลลัพธ์ได้จริง และลดการลงทุนในส่วนที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) โดยตรง

3. การเพิ่มยอดขายและขีดความสามารถในการทำกำไร (Increased Sales & Profitability)

ข้อมูลช่วยให้ธุรกิจสามารถระบุและทำความเข้าใจกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพสูง (High-Value Customers) ได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์, บริการ, และการสื่อสารการตลาดที่เจาะจงไปยังกลุ่มเป้าหมายนี้ได้โดยตรง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการขายที่สูงขึ้นและไม่ต้องสูญเสียงบประมาณไปกับกลุ่มคนที่ไม่ใช่ลูกค้าตัวจริง

4. การวางแผนการเติบโตที่ยั่งยืน (Sustainable Growth Planning)

ข้อมูลช่วยให้ธุรกิจเข้าใจจุดแข็งและการตลาดหลักของตนเองได้อย่างดี ความชัดเจนนี้ทำให้การตัดสินใจขยายธุรกิจ (Scaling) เป็นไปอย่างมีกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นการขยายสู่ตลาดใหม่, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่, หรือการเจาะตลาดเดิมให้ลึกขึ้น การเติบโตจึงไม่ได้เกิดขึ้นจากความเสี่ยง แต่เกิดจากการวางแผนที่อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่เชื่อถือได้

5 ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้ Data Driven

ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้ Data Driven

ในทางทฤษฎี “Data-Driven” อาจดูเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ในความเป็นจริง เราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์นี้อยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ผ่านการใช้งานแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น นี่คือ 5 ตัวอย่างจากแบรนด์ชั้นนำที่ใช้ Data Driven

1. Netflix การสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization)

เบื้องหลังระบบแนะนำภาพยนตร์และซีรีส์ Netflix คือการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้งานอย่างมหาศาล Netflix จะรวบรวมข้อมูลเชิงพฤติกรรมในทุกมิติ ตั้งแต่ประวัติการรับชม, ประเภทเนื้อหาที่ใช้เวลาด้วยนานที่สุด, ไปจนถึงการให้คะแนน เพื่อสร้าง “โปรไฟล์ความชอบ” ของผู้ใช้แต่ละคน ทำให้สามารถนำเสนอเนื้อหาที่ตรงกับรสนิยม ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและรักษาฐานสมาชิกไว้ได้อย่างดี

2. Shopee การตลาดที่ตรงจังหวะและตรงใจ (Optimized Marketing)

Shopee ใช้ข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ โดยวิเคราะห์ข้อมูลการค้นหาและสินค้าที่ลูกค้าสนใจเพื่อนำเสนอสินค้าที่เกี่ยวข้อง (Product Recommendations) นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์ข้อมูลช่วงเวลาที่มีผู้ใช้งานหนาแน่นที่สุด (Peak Hours) เพื่อปล่อยแคมเปญส่งเสริมการขายหรือโค้ดส่วนลดในจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งสามารถกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

3. Amazon สุดยอดในด้านโลจิสติกส์และ E-commerce

Amazon คือผู้บุกเบิกการใช้ Data-Driven ในสองมิติสำคัญ คือ ระบบแนะนำสินค้าที่แม่นยำจากการวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อและการค้นหาของลูกค้า และที่สำคัญคือ การจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain Optimization) โดยใช้ข้อมูลคาดการณ์ความต้องการ (Predictive Analytics) เพื่อบริหารสต็อกสินค้าในคลังทั่วโลก ทำให้สามารถจัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

4. Starbucks การผสมผสานโลกออนไลน์และออฟไลน์

Starbucks เปลี่ยนร้านกาแฟให้กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีผ่านโปรแกรม Starbucks Rewards และแอปพลิเคชันบนมือถือ โดยจะวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อของสมาชิกแต่ละคน เช่น เมนูโปรด หรือความถี่ในการเข้าร้าน เพื่อนำเสนอโปรโมชั่นที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล (Personalized Offers) ผ่านแอปฯ นอกจากนี้ยังใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Geospatial Data) เพื่อวิเคราะห์และเลือกทำเลที่ตั้งสาขาใหม่ที่มีศักยภาพสูงสุดอีกด้วย

5. Grab การเพิ่มประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์ (Real-time Optimization)

ธุรกิจเรียกรถและเดลิเวอรีอย่าง Grab ใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เป็นหัวใจในการทำงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ระบบราคาแบบไดนามิก (Dynamic Pricing) ที่ปรับเปลี่ยนตามอุปสงค์และอุปทานในขณะนั้น, การจับคู่ผู้โดยสารกับคนขับ ที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อลดเวลารอ, และ การแนะนำเส้นทาง ที่เร็วที่สุดโดยอ้างอิงจากข้อมูลการจราจรจริง ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

สรุป

Data-Driven คือหลักการทำงานที่เปลี่ยน ‘ข้อมูล’ ดิบให้กลายเป็น ‘ข้อมูลเชิงลึก’ (Insights) ผ่านการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากองค์ประกอบต่างๆ อย่างเป็นระบบ เช่น ข้อมูลลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) และพฤติกรรมบนเว็บไซต์ เพื่อใช้ในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์, คาดการณ์แนวโน้ม, และปรับปรุงการวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ในปัจจุบัน วิธีนี้นี้ได้กลายเป็นมาตรฐานสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจมีความคล่องตัวและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

ในยุคที่การตลาดออนไลน์มีการแข่งขันสูง TRIXIE-SEO เป็นบริษัทรับทำ SEO เชื่อมั่นว่าความสำเร็จที่ยั่งยืนไม่ได้เกิดจากการคาดเดา แต่เกิดจากการวางกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) อย่างเป็นระบบ

เรานำข้อมูลเชิงลึกมาประยุกต์ใช้ในทุกขั้นตอนของการทำ SEO ตั้งแต่การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดและพฤติกรรมลูกค้า ไปจนถึงการวัดผลและปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการลงทุนของลูกค้าจะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและนำไปสู่การเติบโตทางธุรกิจอย่างแท้จริง

ข้อมูลอ้างอิง (References)

  1. Semrush. (2023). What Is Data-Driven Marketing & Why Is It Important?. [Online] Available at: https://www.semrush.com/blog/data-driven-marketing/
    • Northeastern University.Data-Driven Decision Making: A Primer for Beginners. [Online] Available at: https://graduate.northeastern.edu/knowledge-hub/data-driven-decision-making/
    • Harvard Business School Online. (2020). 5 EXAMPLES OF DATA-DRIVEN COMPANIES. [Online] Available at: https://online.hbs.edu/blog/post/data-driven-companies
    • Forbes. (2022). Why Data-Driven Marketing Is The New Norm. [Online] Available at: https://www.forbes.com/sites/forbesagencycouncil/2022/07/11/why-data-driven-marketing-is-the-new-norm/
    • STEPS Academy.Case Study: Personalized Marketing จาก Netflix และ Amazon. [Online] Available at: https://stepstraining.co/strategy-personalization-strategies-from-netflix-and-amazon-case-study